เทศน์บนศาลา

โลกอนิจจัง

๒๔ ธ.ค. ๒๕๕o

 

โลกอนิจจัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมนะ ฟังธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนานะ ศาสนา หลักเกณฑ์ของศาสนา เข้าใจเรื่องโลกหมด หลักเกณฑ์ของศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมนะ เรื่องอย่างนี้ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่อยู่กับเรานะ หลักเกณฑ์ของศาสนาคือในเรื่องของชีวิตของเรา เรื่องของเรา เรื่องของความเป็นไปของชีวิต เรื่องของสุข เรื่องของทุกข์ เรื่องของการเกิดและการตาย แต่เราไม่รู้เรื่องของเรา แต่เราไปรู้เรื่องของโลก

ดูสิ แม้แต่ฌานโลกีย์เห็นไหม ฌานโลกีย์เกิดมาจากไหน? เกิดมาเรื่องของความรู้สึกไง เวลาจิตของเรา จิตของเราเวลามันฟุ้งซ่าน จิตของเราเวลามันทุกข์มันยาก สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกของเราทั้งหมดนะ เกิดมาจากความรู้สึก เกิดมาจากอาการของใจ ไม่ใช่ตัวใจ แล้วถ้าเป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ความเป็นไปของอาการของใจ ความเป็นไปของอาการของใจ เวลาเข้าฌานเข้าสมาบัตินี้มันก็มีอยู่ มันเข้าใจเรื่องอาการของใจ ไม่ใช่เรื่องของใจ ไม่ใช่เรื่องของใจนะ

เพราะเรื่องของใจ ใจตัวทุกข์ ใจตัวยาก ใจตัวเกิด ใจตัวตาย

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับเข้ามา เวลาเข้าฌานสมาบัติกับอาฬารดาบสแล้ว สิ่งนี้มันเจริญแล้วเสื่อม คำว่า “เจริญแล้วเสื่อม” เหมือนเราเข้าเราออก ถ้ามันมีการเข้าการออกอยู่ ถ้าเรามีการเข้าการออก มันเป็นอนิจจังไหม? สิ่งนี้มันเป็นอนิจจังเพราะมีการเข้าและการออก มีการรักษาไว้และมีการเสื่อมสภาพไป สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาของโลกเขา

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา”

แม้แต่ความรู้สึกเวลาเราทุกข์ขนาดไหน ถ้าเราไม่มีทางแก้ไข ถ้าชีวิตเราไม่สิ้นไป ความทุกข์อันนี้มันก็ต้องจางไปเป็นธรรมดา ทั้งๆ ที่ไม่ต้องแก้ไข กาลเวลามันแก้ไข มันเยียวยาของมันเอง สิ่งที่เยียวยาของมันเอง มันก็ไม่ได้แก้ไขสิ่งใดๆ เลย เพราะว่าอะไร เพราะสิ่งที่มันตกผลึกอยู่ในหัวใจ สิ่งที่ตกผลึกอยู่ในหัวใจ

สภาวธรรม ธรรมอันนี้ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ เวลาเข้ามานี่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มหาศาลเลย แล้วเวลามันเสื่อม มันคลายตัวออกมามันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะมันไม่ได้แก้ไขเรื่องการเกิดและการตาย เมื่อไม่ได้แก้ไขเรื่องการเกิดและการตาย จนมาค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองเห็นไหม เวลาเข้าไป จิตสงบเข้าไป “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” ญาณที่หยั่งรู้อดีตชาติ สิ่งที่รู้อดีตชาติ ขณะจิตมันสงบเข้าไป

ในฌานสมาบัติเขาก็ไม่รู้สิ่งนี้นะ ในฌานสมาบัติเขาไม่รู้สิ่งนี้เพราะอะไร เพราะเขาไม่เข้าไปข้อมูลเดิมของใจ ถ้าไม่เข้าข้อมูลเดิมของใจ เห็นไหม ได้เข้าฌานสมาบัติ ได้แค่ให้จิตนี้มีพลังงาน พอจิตนี้มีพลังงาน เรื่องฌานโลกีย์ เรื่องอภิญญา ๖ เรื่องความรู้ต่างๆ รู้ออกไปข้างนอก แต่เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณก็อาศัยสิ่งนี้ แต่มันย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามารื้อข้อมูลของใจ เห็นไหม ข้อมูลของใจ เพราะการเกิดและการตาย ใจดวงนี้มันเกิดและมันตาย

ในเมื่อมันเกิดและมันตาย เหมือนเรานี่ เราเคยผ่านสิ่งใดมาในชีวิตของเรา เราผ่านสิ่งต่างๆ มา เราผ่านอุปสรรคมา เราผ่านสิ่งใดๆ มา ตั้งแต่เราเกิดมา เราจะมีวิกฤตในชีวิต เราจะมีสิ่งประทับใจในชีวิต เราจำได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเราบางทีเราก็ลืมไป บางทีเราก็นึกได้ สิ่งนี้มันนึกได้เห็นไหม แล้วมันเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติกันมาตลอด จนจิตนี้ สิ่งนี้ข้อมูลอยู่อย่างนี้ เวลาจิตมันเข้าไปล้อม มันเข้าไปถึงข้อมูลเดิม บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่กับเรื่องของโลก กับเรื่องของวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ แต่มันก็ยังไม่ใช่ชำระกิเลส “จุตูปปาตญาณ” ก็เหมือนกัน

ถึงที่สุดแล้ว “อาสวักขยญาณ” มันล้าง “อาสวักขยญาณ” สิ่งที่เป็นอาสวะ สิ่งที่เป็นเชื้อไขของใจมันล้างหมด พอล้างหมดขึ้นมา ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้มันถึงเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม พุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะสิ่งที่เป็นไปนี่ เวลาอริยสัจมันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากหัวใจ

“บุพเพนิวาสานุสติญาณ” นี้คือพลังงานเฉยๆ พลังงานที่เข้าไปรู้ข้อมูลเฉยๆ สิ่งที่เข้าไปรู้ข้อมูลเฉยๆ เห็นไหม เวลาไปศึกษากับอาฬารดาบส สิ่งที่กาฬเทวิลรู้อดีตชาติ ความรู้ของเขา เขารู้ของเขาด้วยสิ่งที่มันเป็นข้อมูลทางที่เขาไปรู้ข้อมูลเดิม แต่เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจ เขาไม่รู้เรื่องความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิเสธ ปฏิเสธกับอาฬารดาบสว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม

เพราะมีธรรมอันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงย้อนกลับมาเห็นการเกิดและการตาย เห็น ทำลายการเกิดและการตาย ทำลายอวิชชาอันนี้ ถ้าทำลายอวิชชา ทำที่ไหน? ทำที่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่อาสวักขยญาณมันเกิดขึ้นมา

เวลาเกิดวิมุตติสุข อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ นี่เสวยวิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุขเพราะอะไร เพราะเวลาเรารื้อค้นกิเลส ทำลายกิเลสออกไปจากใจแล้ว ใจนี่มันเป็นวิมุตติ ใจนี้มันพ้นจากสมมุติทั้งหมด นี่วิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุขอยู่

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งนี้ถ้าจิตมันเป็นธรรมธาตุ จิตมันเป็นวิมุตติแล้ว มันเป็นวิมุตติตลอดไป แต่เวลาออกมาเสวยอารมณ์ จิตที่มันเสวยอารมณ์ นี่ออกจากนิพพาน ออกจากจิตที่เป็นวิมุตติ แล้วมันจะเป็นธรรมชาติของมัน สอุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ ๕ เป็นภาระ เราเป็นขันธมาร ขันธ์ของเราเป็นมาร เราไม่สามารถควบคุมของเราได้ เราไม่รู้จักเรื่องขันธ์ของเรา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์เห็นไหม นี่ขันธ์ จิตมันเสวยอารมณ์อย่างนี้มา ถ้าจิตมันเสวยอารมณ์ มันเข้าใจหมด มันเข้ามาสิ่งสภาวะเป็นไปของอาการของใจ อาการของใจคือสิ่งที่เหลืออยู่ สิ่งที่เหลืออยู่คือเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งที่เหลืออยู่คือชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตที่เหลืออยู่ เห็นไหม ชีวิตที่เหลืออยู่แต่กิเลสมันตายจากใจไปแล้ว มันจะไม่มีอำนาจเหนือกับใจดวงนี้เลย ไม่มีอำนาจเหนือกับสิ่งที่จิตที่เป็นวิมุตตินี้ นี่สภาวธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมแท้ๆ เกิดขึ้นมาจากใจ เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติ แล้ววางธรรมและวินัยไว้

เราศึกษากันมานะ ธรรมวินัยวางไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ระยะหนึ่งคราวที่ยังมีธรรมอยู่ คราวที่ยังมีครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติอยู่ สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริง เป็นสัจจะความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะความจริงของครูบาอาจารย์ของเรา เรามีอำนาจวาสนา เราถึงมาพบ เกิดเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์นะ การเกิดเป็นมนุษย์เกิดบนโลก ดูสิ เราเกิดมาบนโลกเวียนตายเวียนเกิดมา แม้แต่ชีวิตหนึ่งเราต้องระหกระเหินขนาดนี้

ดูเรื่องของโลกๆ เขาสิ “โลกนี้อนิจจัง” ความเป็นไปของโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย ดูการดำรงเผ่าพันธุ์ของนกเห็นไหม นกเวลาฤดูกาลของเขา เขาต้องย้ายถิ่นนะ เวลาไซบีเรีย ทางเหนือทางถิ่นที่นกมันอาศัยอยู่มันเป็นถิ่นที่เมืองหนาว เวลาถึงเวลาอากาศมันหนาวมากมันต้องย้ายถิ่นของมัน มันต้องอพยพของมันมา ขณะที่มันอพยพ แล้วชีวิตของนกมันมีอายุกี่ปี มันต้องย้ายถิ่นปีหนึ่งรอบหนึ่งมันต้องย้ายถิ่นฐานออกมา เพื่ออพยพ เพื่อหาอยู่หากินของมันนะ เพื่อความดำรงเผ่าพันธุ์ เพื่อให้มีการดำรงเผ่าพันธุ์

นกเวลาอพยพมา ต้องอพยพไปเพื่อมีอาหาร ในเส้นทางนั้นต้องมีอาหาร ต้องไม่มีสิ่งใดๆ เป็นอันตรายกับชีวิตของมัน เพื่อหาประสบการณ์ของชีวิต เพื่อยอมรับสิ่งต่างๆ เพื่อรับรู้ความเป็นโลกของโลกกว้าง นี่อพยพกันมา อพยพกันมาเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน มันประสบอันตรายขนาดไหน นี่เรื่องของโลกนะ แล้วถึงที่สุดแล้วมันต้องดำรงชีวิตของมันไว้ ถ้าดำรงชีวิตของมันไว้ แล้วถึงเวลาแล้ว เวลาฤดูกาลผ่านไป มันต้องกลับ มันต้องกลับขึ้นไป กลับขึ้นไปเพื่อไปวางไข่ เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ แล้วมันจะต้องมีลูกของมันออกมา มันจะต้องมีดำรงเผ่าพันธุ์ของมันออกไป นี่วงจรของชีวิตมันเป็นอย่างนี้ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมันนะ มันอนิจจังไหม ทั้งๆ ชีวิตของมัน มันต้องดำเนินของมันไป มันต้องดำเนินของมันไปเพื่อดำรงของมันไว้ไม่ให้สูญพันธุ์

แล้วเราก็ศึกษากันทางวิชาการ เราศึกษาวิชาการเส้นทางของมันมา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของความมหัศจรรย์ เราก็ศึกษากัน นี่โลกนี้อนิจจัง ความเป็นไปของโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” เป็นทุกข์ไหม เวลามันเจอวิกฤต มันเจอเหตุการณ์ที่มันเป็นอันตรายต่อชีวิตของมัน มันต้องหาอาหารของมัน ดูสิ เวลามันมีอาหารของมัน พลังงานของวันหนึ่งมันต้องบินมา มันต้องใช้กำลังเท่าไร มันต้องใช้พลังงานขนาดไหน

มันต้องหาอาหารสำรองท้องของมันมา เวลาถึงที่ไหนอาหารอุดมสมบูรณ์จะอยู่ที่นั่นนานหน่อยนึง อยู่ที่นั่นนานหน่อยนึงเพื่ออะไร? เพื่อผ่อนความเมื่อยล้า เพื่อความเหนื่อยยากของมัน นี่ธรรมชาตินะ สัตว์มันเกิดมาโดยธรรมชาติของมัน มันยังต้องดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน มันต้องประสบอันตรายของมัน แล้วมันประสบการณ์ชีวิตของมัน การหาอาหาร การหาเหยื่อ การเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา

สิ่งใด...เวลาครูบาอาจารย์ของเราบอก เวลาธุดงค์ไปในป่านะ ถ้านกมันกินพืชอะไร มันกินเมล็ดอะไร สิ่งนั้นมนุษย์กินได้ เพราะอะไร เพราะมันต้องกินสิ่งที่ไม่เป็นพิษไง ดูสิ เวลาเราธุดงค์กันไป ถ้าพระธุดงค์ไป มีปะขาว มีเณรไป จะเก็บสิ่งต่างๆ เป็นอาหาร มีหน่อไม้ มีผักหวาน มีต่างๆ แม้แต่ผักหวานมันยังมีโทษเลย ผักหวานที่กินโดยผักหวานที่ของที่ฉันได้มันก็ยังเป็นประโยชน์กับร่างกาย ผักหวานขนนี่ถ้าไม่เป็น เก็บมากินนะ มันเป็นผักหวานพิษ พระเณรเราไปเสียชีวิตในป่าเพราะเหตุนี้ก็มี แม้ของเรา เราก็ต้องเลือกของเรา แล้วนกมันก็ต้องเลือกของมันว่าสิ่งนั้นกินได้ สิ่งนี้กินไม่ได้ นี่ประสบการณ์ชีวิตของมันไง มันต้องมีอาหารของมัน มันต้องมีความเป็นไปของมัน สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตของมัน แล้วมันก็ตายไป เกิดตายไปๆ

“โลกนี้เป็นอนิจจัง” ความเป็นไปของโลกนี้เป็นอนิจจังหมดเลย สิ่งนี้เป็นอนิจจัง มันมีประโยชน์อะไรกับเรา สิ่งที่เราเกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิดมานะ เราเกิดมาในโลกนี้ สิ่งที่...เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญ เจริญจนพิสูจน์ได้ นี่การเคลื่อนย้ายของนก การเป็นไปของนก เรารู้ไปหมดเลย โลกนี้เป็นอนิจจัง มันก็ต้องดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน แล้วขณะตัวที่อ่อนแอ ตัวที่ไปไม่ไหวมันต้องตาย พอมันตายไป มันตายไปเพราะมันหาเหยื่อไม่ได้ มันหาอาหารรองท้องของมันไม่ได้ มันก็ต้องตายของมันไป พอตายของมันไป เพื่ออะไร? เพื่อคัดพันธุ์ การคัดพันธุ์ การให้พันธุ์ของเขาเข้มแข็ง

มนุษย์เราก็เหมือนกัน เวลาเราเกิดมา ดูสิ เราเกิดมาของเรา ที่ว่า เป็นกรรมๆ เวลาเป็นกรรม เกิดพิการเกิดต่างๆ ขึ้นมามันเป็นเรื่องของกรรม แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นผู้ที่เขาคิดทางวิทยาศาสตร์นะ เขาไม่เชื่อเรื่องกรรม เขาบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นความไม่เสมอภาคของสังคม สังคมเอาเปรียบ ถ้าสังคมเป็นธรรมทุกอย่างมันต้องเสมอภาคกันหมด มันต้องเป็นไปหมด เห็นไหม นี่ความคิดของเขา ความคิดของเขาว่า โลกนี้ที่มันเป็นทุกข์เป็นร้อนกันอยู่นี่เพราะความไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรม

แล้วโลกนี้มันเป็นอนิจจัง มันจะเอาความเสมอภาค มันจะเอาความคงที่มาจากไหน ความคงที่ ความเปลี่ยนแปลง ดูฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ฤดูกาลที่มีน้ำมาก ดูสิ น้ำท่วมน้ำหลาก ฤดูกาลที่แห้งแล้ง การพืชพันธุ์ธัญญาหารมันเราจะทำอาหารไม่ได้เลย คราวทุกข์ คราวที่เกิดเภทภัยมันมีตลอดไป มันหมุนเวียนไปตามวัฏฏะ มันหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน แล้วเราก็ไปฝืนมันไปคิดโดยวิทยาศาสตร์

เรารู้ไปหมด ทางวิทยาศาสตร์รู้ไปหมดเลย รู้แล้วชำระกิเลสได้ไหม รู้แล้วเป็นประโยชน์อะไรกับเรา รู้แล้วเป็นข้อมูลที่ว่านี่ไม่มีความลับในโลก ความลับสิ่งต่างๆ เราจะเข้าใจไปหมดเลย แต่ความลับจริงๆ คือความลับในกิเลสของเรา ความลับที่เราไม่รู้ในหัวใจนี่มันมีอีกมหาศาลเลย แล้วความรับรู้ภายในมันมาจากไหนล่ะ

โลกนี้เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะผู้ที่เข้าใจ ผู้ที่ถึงเวลาที่เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความจำนน ทุกข์เพราะชีวิตนี้มันต้องสิ้นไป ทุกข์เพราะเรารู้แล้วเราไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับเรา เห็นไหม มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นเรื่องของโลก เรื่องของภายนอก ไม่ใช่เรื่องของภายใน นี่โลกทัศน์ภายนอก โลกนอก-โลกใน

ถ้าโลกทัศน์ภายใน สิ่งที่โลกทัศน์ภายในมันเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากความเชื่อ เกิดมาจากศรัทธา อำนาจวาสนาบารมีมันเกิดกันที่นี่ ดูสิ คนที่มีอำนาจวาสนา สิ่งที่มีอำนาจวาสนา สิ่งที่ทำสิ่งใดไป มันจะมีสิ่งนี้มารองรับ รองรับในชีวิตของเรา ไม่ให้เกิดมาเหมือนนก นกมันอพยพย้ายถิ่นแต่ละปี แต่ละคราว มันจะเจออุปสรรคของมันเฉพาะสิ่งใด แล้วมันจะกลับขึ้นไปวางไข่ มันจะดำรงเผ่าพันธุ์มันอย่างไร

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ชีวิตเรา เราเกิดมาในโลก เราเผชิญอยู่กับโลก เรามีอุปสรรคขนาดไหน มีอุปสรรคเกิดขึ้นมา เกิดมาเหมือนกัน คนเกิดมา เมื่อก่อนทางการแพทย์ไม่เจริญ เราเกิดที่บ้านเลขที่นั้น เกิดเวลาตกฟากเท่านั้น เดี๋ยวนี้นะ เกิดที่โรงพยาบาลทั้งหมด เกิดในห้องคลอดทั้งนั้นเลย ประชาชนทั้งหมด ประชากรทั้งหมดจะเกิดโรงพยาบาลไม่กี่โรงพยาบาลเท่านั้นเอง มันจะรวบยอดเข้ามา แล้วมันจะคัดเผ่าพันธุ์มาจากไหน การคัดเผ่าพันธุ์มา นี่การเกิดเราก็เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา สิ่งที่การดำรงเผ่าพันธุ์ของโลกมันเป็นเรื่องของโลก การประกอบสัมมาอาชีวะ การดำรงชีวิต มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น แล้วตามธรรมชาติอย่างนั้นเพื่ออะไร? ก็เพื่อหาอาหารมาเลี้ยงชีวิต เพื่อหาปัจจัย ๔ ดำรงชีวิตเท่านั้นล่ะ

การดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตด้วยความเป็นธรรม ดูสิ ภิกษุเราทำไมฉันมื้อเดียวได้ ทำไมดำรงชีวิตได้ แล้วขนาดฉันมื้อเดียว สิ่งที่ฉันทุกอย่างนะ มันมีประโยชน์มันก็มีโทษในตัวมันเองทั้งนั้นเลย การกินการอยู่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บก็มี การกินการอยู่นี่เกิดจนให้เราไปติดสิ่งนั้นให้มีอำนาจเหนือเราก็มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกไว้ในธรรมนะ “โลกเขากินกันเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี ภิกษุเรากินเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น” แล้วจะกินดำรงชีวิต ดำรงชีวิตเพื่อใครล่ะ? ดำรงชีวิตเพื่อที่จะให้รู้แจ้งจากโลกใน โลกต่างๆ นี่เป็นโลกนอก

โลกนี้เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ เขาเห็นว่าเป็นคุณ เกิดมาแล้วไม่อยากตาย เกิดมาแล้วจะดำรงชีวิตอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วมันเป็นไปได้ไหม จะดำรงชีวิตโดยที่ว่าไม่มีการย่อยบุบสลาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ไหม เพราะโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเป็นไปมันจะเคลื่อนไหวไปอย่างไร

ดูเราเกิดมานี่ ถ้าเราเกิดมานะ มีอำนาจวาสนาโดยที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาล ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันต้องพลัดพรากอยู่แล้ว เราไม่พลัดพรากไปจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากไปจากเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเป็นทุกข์ไหม เป็นทุกข์ต่อเมื่อเรามี เราสนใจในศาสนา เราสนใจในสัจจะความจริงนะ แล้วถ้าเกิดมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ดูสิ คนที่เขาไม่สนใจในศาสนา แต่เขาก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิต แล้วความเปลี่ยนแปลงของชีวิต มันเหมือนกับยอมจำนนนะ วิทยาศาสตร์นี้เหมือนยอมจำนน เราก็รู้ๆ อยู่ว่ามันต้องเป็นไป เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นสถิติ มันมีความเจริญ มันมีข้อมูล เรารับไว้ แล้วเราก็ศึกษาไว้ แล้วมันไม่ได้ประโยชน์ มันเป็นการยอมจำนน เพราะมันไม่มีทางแก้ไข

“สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” มันเป็นอนัตตาโดยสัจจะความจริงของศาสนา

แต่ในสัจจะความจริงของโลกเห็นไหม โลกนี้มันมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเป็นไป เพราะสิ่งที่มันเป็นไปมันไม่เสมอภาค โลกนี้ไม่เป็นธรรม

ถ้าเป็นธรรมทั้งหมด แล้วมันเอาธรรมมาจากไหน เพราะโลกมันเกิดมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เอารัดเอาเปรียบกันมาตลอด สิ่งที่เอารัดเอาเปรียบ สิ่งนี้มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่งนะ ความเห็นเป็นไปนี่เวลาคิด คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พูดออกมานี่ไม่กล้าพูดออกมา พูดออกมาก็พูดแต่สิ่งที่โกหกมดเท็จ สร้างภาพ สร้างภาพกันว่าฉันมีคุณธรรม ฉันมีคุณธรรม แต่ในหัวใจไม่มีคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมการแสดงออกมันไม่เป็นอย่างสภาวะแบบนั้นหรอก

เราคิดกันโดยวิทยาศาสตร์ คิดกันโดยทางโลกไง โลกมันเป็นอนิจจัง ความคิดนั้นก็เป็นอนิจจัง ความคิดนี่ปลิ้นปล้อน มันหลอกลวงมาตั้งแต่ภายใน มนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวมาก เพราะมนุษย์มันมีอวิชชา มนุษย์มันมีตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากตัวนี้มันทะยานอยากขึ้นมาในหัวใจ ดูสิ โลกทัศน์ภายใน ความคิดของโลก ความคิดนะ ดูสิ ทะเล มหาสมุทร กว้างลึกยังคำนวณได้ แต่ใจของคนคำนวณไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณธรรมคำนวณไม่ได้

ถ้ามีคุณธรรมเห็นไหม เรามีศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมันจะเข้ามาปกป้อง เข้ามาให้มันมีขอบเขต ขอบเขตของมัน ขอบเขตของการขยายตัวของมัน ของตัณหาความทะยานอยากที่มันจะออกไปทำลายเขา เห็นไหม มนุษย์มันเป็นสัตว์ที่น่ากลัว แต่มนุษย์ ถ้าไปฝึกฝนที่ดีแล้วเป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “สัตว์ในโลกนี้ไม่มีสัตว์ใดประเสริฐเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

สัตว์ที่ประเสริฐ สัตว์ที่ฝึกแล้วมันดี มันใช้งานได้ มันเป็นประโยชน์กับชาวนาชาวไร่ เขาใช้ประโยชน์ได้ ดูสิ ดูคณะละครสัตว์สิ เขาเอาสัตว์มาฝึกจนสัตว์หาเงินหาทองให้เขามหาศาลเลย สัตว์ที่มันฝึกแล้วมันยังใช้ประโยชน์ได้ขนาดนั้น แต่มนุษย์ที่ฝึกดีแล้ว ฝึกด้วยอะไร? ฝึกด้วยธรรมะ ฝึกฝนด้วยคุณธรรม ถ้ามันฝึกได้อย่างนี้มันจะฝึกเรา มนุษย์ที่น่ากลัว น่ากลัวเพราะตัณหาความทะยานอยาก มนุษย์นี่ทำลายกัน ทำลายสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลย ทำลายเขาหมดเลย เพื่อผลประโยชน์ของตัว ผลประโยชน์ของกิเลสทั้งนั้นเลย ความว่าเป็นผลของกิเลสนะ นี่ความคิดของโลก ความคิดของที่เป็นวิทยาศาสตร์

แต่ถ้าเป็นความคิดของธรรม สิ่งใดที่ทำลายนะ ทำลายเราก่อน ทำลายเราก่อนทั้งนั้นเลย เพราะเวลาคิดขึ้นมามันต้องทำลายเราแล้วเพราะมันเป็นมโนกรรม กรรมอันนี้เกิดขึ้นแล้ว การคิดอย่างนี้มันทำลายสิ่งต่างๆ ทำลายของเราก่อน ถ้าทำลายเราแล้วมันจะไปทำลายใคร? มันก็ทำลายสังคมไปทั้งหมด ทำลายสิ่งต่างๆ ไปทั้งหมดเลย นี่มันเป็นอนัตตาเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำลายแล้วมันทำลายใคร มันไม่มีสิ่งใดๆ ที่เราจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย มันได้แต่กรรมๆๆ ทั้งนั้นล่ะ

แล้วบอกว่า สิ่งที่เป็นกรรมเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว มันไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

มันเป็นประโยชน์มหาศาลเลย เพราะสิ่งนี้ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากหัวใจ นี่คุณธรรมเกิดขึ้นมาจากหัวใจ มันเป็นคุณงามความดี นี่ธรรมะมันเป็นอย่างนี้

ธรรมะนี้มาจากไหน? ธรรมะนี้มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นอริยสัจจะ มันเป็นสัจจะความจริงทีเดียวล่ะ มันเป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสัจจะความจริงในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเราแต่มันเป็นการโป้ปดมดเท็จในใจเรา

มันเป็นความจริงของหัวใจของครูบาอาจารย์ท่าน เพราะท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นความจริง แต่ของเรามันเป็นความจำ มันเป็นความจำ แล้วว่าเป็นชาวพุทธ เรามีอำนาจวาสนาเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเห็นไหม แล้วศาสนากำลังรุ่งเรืองด้วย มีการประพฤติปฏิบัติ แล้วในการประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงเข้ามา นี่ไงโลกนี้เป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

รู้กันไปหมดเลย รู้ทั้งนั้น แล้วแก้กิเลสได้ไหม นี่การศึกษาทางโลกไง นี่ปริยัติ ไปเรียนศึกษามา ศึกษาๆ ข้อมูลมา ศึกษาทางวิทยาศาสตร์มา แต่มันศึกษาจากโลกนอก โลกนอกคือความคิด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในการศึกษา ศึกษามาจากไหน? ศึกษาจากข้อมูลคือสัญญา สัญญาจำมา แล้วเวลาตอบบาลี ธรรมเวลาตอบปัญหาเป็นธรรมขึ้นมา แต่งเติมเป็นวิชาธรรม แต่งขึ้นมาโดยกิเลส แต่งขึ้นมาโดยโลกๆ เพราะมันไม่เข้าถึงเนื้อหาสาระ

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราเชื่อ เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ที่ไหน? ตรัสรู้ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติจากที่ไหน? ปฏิบัติขึ้นมาคือต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความควบคุม ควบคุมใจให้ได้ ใจมันควบคุมใจให้เป็นปกติ ถ้าใจมันไม่เป็นปกติ มันทำสมาธิได้อย่างไร

เวลามันคิดฟุ้งซ่านขึ้นไป ถ้ามันคิดฟุ้งซ่านขึ้นไป นี่ใจแก้ใจ จิตแก้จิต ถ้าจิตแก้จิต ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา มันคิดแค่ไหนมันคิดเป็นความคิดขึ้นมา มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เอาสติตามมันไป เอาสติตามความคิดไป ความคิดนั้นหยุดได้ ความคิดหยุด ทำไมถึงหยุดล่ะ หยุดเพราะมันใช้งานแล้วมันก็ต้องหยุดสิ มันหยุดขึ้นมา หยุดขึ้นมาเพื่อใคร? หยุดขึ้นมามันก็เป็นตัวมันเอง เพื่ออะไร? เพื่อจะคิดรอบใหม่ เพื่อจะออกไปรับรู้อีก สิ่งที่มันกลับมาเป็นปกติขึ้นมา ถ้าศีลมันเป็นความปกติของใจ

ถ้าไม่มีศีลขึ้นมา ความคิดนี้มันคิดทำลาย มโนกรรม มโนกรรมทำลายตัวเองก่อน ทำลายตัวเองแล้วก็จะไปทำลายคนอื่น ทำลายคนอื่นนะ ดูสิ ดูเวลาประพฤติปฏิบัติกัน เวลานั่งสมาธิภาวนา สิ่งใดๆ ไม่ดีไปหมดเลย ในรอบตัวเราอะไรก็ไม่ถูกใจไปหมดทั้งนั้นเลย นี่มันทำลายตัวเองทั้งนั้น มันทำลายสิ่งต่างๆ ในรอบตัวเรา ไม่มีอะไรถูกใจสักอย่างหนึ่ง แล้วพอไม่ถูกใจแล้วก็บอก ไม่ถูกใจก็จะไปเปลี่ยนแปลงมัน ไปเปลี่ยนมันก็ไปเปลี่ยนแปลงโลกไง

โลกมันเป็นอนิจจังอยู่แล้วนะ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงมัน มันจะเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาตั้งขึ้นมาแล้วจะไม่เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาของมัน แต่ไอ้กิเลสนี้มันไปยุ่งกับเขาก่อน ดูสิ ของเราสิ่งต่างๆ ขึ้นมา สิ่งนั้นก็ไม่ดี สิ่งนี้ก็ไม่ดี แต่จะไปแก้ไขมัน แล้วทำไมไม่แก้ไขใจของตัวล่ะ ไม่แก้ไขใจของตัวเห็นไหม เราต้องมีสติควบคุมไปอย่างนี้ กำราบมัน กำราบมัน กำราบมัน นี่ปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้าปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมานะ...มันก็เรื่องของเขา สิทธิของเขา สิทธิของทุกๆ คน ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนเกิดมา ทุกคนเป็นนักบวช ทุกคนปฏิบัติขึ้นมา มันก็เป็นสิทธิของเขา สิทธิของเขา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิความคิดของเขาถูกต้อง เขาจะได้คุณประโยชน์ของเขา แล้วมันสิทธิของเขาแล้วเราไปก้าวล่วงสิทธิของเขาทำไม? ก้าวล่วงสิทธิของเขาเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นหน้าที่อะไรของเรา แล้วหน้าที่อะไรของเราต้องไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

แล้วเวลาเรื่องของเรา เรื่องใจของเรา ความเป็นไปของเรา ทำไมไม่ย้อนกลับมา เห็นไหม โลกนี้เป็นอนิจจังนะ นกมันย้ายถิ่นฐานกัน เผ่าพันธุ์มัน มันดำรงเผ่าพันธุ์ แต่ละรอบมันต้องสละชีวิต มันต้องหมุน ต้องหลบความหนาวไป ไปหาอาหารดำรงชีวิตของมันมา แล้วมันต้องมีกำลังของมันบินกลับขึ้นไปเพื่อจะไปวางไข่ เพื่อจะรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน

ในจิตเราก็เหมือนกัน ความคิดมันออกมาจากภวาสวะ มันออกมาจากฐานของจิต นี่ฐีติจิต จิตมันอยู่ที่ไหน แล้วมันส่งต่อมา มันเกิดตาย เกิดตายกันมา จนมาเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์คิดออกไปจากภายนอก คิดออกไปทำลายกัน คิดออกไปแต่เรื่องของโลกๆ คิดออกไปทำลายโอกาส ทำลายชีวิตนี้ไป ชีวิตที่เกิดมานี่ มันมีโอกาสขึ้นมามันมีความเชื่อ แล้วมาพบพระพุทธศาสนากึ่งพุทธกาล การกระทำของเรามันมีอยู่ เรื่องการทำศีล สมาธิ ปัญญา งานของเรา งานโลกุตตรธรรม งานเหนือโลก งานกระทำ

เขาบอก พระป่า พระเราบวชแล้วไม่เห็นมีงานมีการ เอาเปรียบสังคม

ก็สังคมทำอะไรกัน สังคมเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมมันทำลาย มันเหยียบย่ำกัน แต่นี่มาเพื่อจะเหยียบย่ำกิเลส เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อจะไม่ให้กิเลสมันพองตัวขึ้นมา จะเหยียบย่ำกิเลส งานของเรางานโลกุตตรธรรม มันจะไม่ทำงานที่ไหน งานของเรางานของใจนะ

ดูผู้บริหารสิ เวลาเขาบริหารขึ้นมาเขารับผิดชอบของเขา เขาแบก เขามีความเครียด เขาต่างๆ เขาบริหารขึ้นมาความรับผิดชอบของเขาขนาดไหน แล้วองค์กรของเขาเฉยๆ นะ เขาบริหารองค์กรของเขา เขายังต้องเข้าใจระบบงานทั้งหมดเลย จะให้ใครมาตบตาเขาไม่ได้ ถ้าตบตาเขาได้นะ องค์กรนั้นอยู่ได้ไม่ได้นาน เพราะอะไร เพราะการบริหารจัดการนั้นมันบกพร่อง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะชำระกิเลสของเรา ความเป็นไปนี่ภวาสวะ ดูสิ เวลาไซบีเรีย มันบินมา นกมันย้ายเผ่าพันธุ์มา มันต้องพัก ต้องดำรงชีวิตของมัน นกตัวเล็กๆ นะ มันผ่าอากาศ ผ่าความหนาวของมันมา มันฝ่าแรงดันของอากาศ ผ่าพายุ ผ่าฝนของมันมา มันยังบินมาเอาตัวมันรอดมาได้นะ แล้วรอดมาได้แล้วมันต้องดำรงชีวิตของมัน

แล้วเราเป็นมนุษย์ เป็นชาวพุทธ ยิ่งมาบวชเป็นพระด้วยนะ ศากยบุตร นักรบๆ แล้วก็ให้กิเลสมันขี่หัว แล้วก็ให้มันกระทืบเหยียบย่ำซ้ำอยู่นี่ มันน่าอายนกตัวเล็กๆ นกตัวเล็กๆ มันยังเอาตัวมันรอดได้ ไอ้นี่หัวใจไม่เคยเอาตัวเอาหัวใจรอดได้เลย ยอมจำนนกับมันตลอด แพ้กับมันมาทุกวัน มันเหยียบย่ำมาตลอดไป แล้วก็บอกเป็นนักรบๆ กิเลสมันขี่หัวอยู่น่ะไม่ว่าเป็นนักรบ

นักรบมันต้องมีสติสิ นักรบต้องยับยั้งมันได้ ยับยั้งความคิด ยับยั้งสิ่งที่มันฉุดกระชากลากใจของเราไป ไม่ใช่แค่ฉุกกระชากลากใจของเราไป ยังจะเกิดจะตายอยู่นะ ยังจะทุกข์จะยากไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่สามารถยับยั้งเราได้บัดนี้นะ มันจะต้องทุกข์ไปตลอด ดูสิ มันจะทุกข์ไป มันไปแล้วมันจะเป็นเหยื่อ มันจะโดนคัดพันธุ์ไง มันจะโดนคัดพันธุ์ว่านกตัวนี้เป็นนกบาดเจ็บ เป็นนกที่ไม่แข็งแรง มันจะต้องไปตาย ไปตายขึ้นมาแล้วนะ ดูสิ ตายแล้วมันก็จบไป จบไหม นกมันมีหัวใจไหม นกมันมีความรู้สึกไหม มันก็หมุนเวียนของมันไป

วิทยาศาสตร์พูดได้แค่นกมันตาย นกมันตายแล้ว ถ้ามันเกิดใหม่ก็นกมันเกิดใหม่ แต่ไม่เห็นเรื่องของจิตไง ไม่เห็นเรื่องความเป็นไป แต่ศาสนามันรู้เรื่องของจิต จิตรู้จิตนะ ถ้าจิตไม่รู้จิต มันจะย้อนข้อมูลได้อย่างไร แล้วครูบาอาจารย์ท่านจะรู้ความเป็นไปได้อย่างไร จิตความคิด ดูสิ เทวดายังรู้จักความคิดของมนุษย์เลย มนุษย์ที่คิดดีๆ เทวดาจะสาธุการ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นเรื่องของสังคม เพราะมันเป็นการพึ่งพาอาศัย อำนาจวาสนาบารมีเกิดจาก เห็นไหม พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะช่วยหมู่คณะ จะช่วยให้ความเป็นไป สิ่งที่คิดดีๆ สังคมก็ที่ดี เทวดาก็สาธุการ เพราะอะไร เพราะนี่คือการคัดเผ่าพันธุ์เหมือนกัน การคัดสิ่งที่ดีๆ

คนตกทุกข์ได้ยากมา คนทุกข์ยากมา คนทุกข์ยากหัวใจมันก็เศร้าหมอง หัวใจมันก็แบกรับสิ่งที่เป็นภาระมา ได้รับการจุนเจือจากหัวหน้าจากหมู่คณะขึ้นมา มันไปปลดเปลื้องความทุกข์ใจ มันไปปลดเปลื้องความเศร้าหมองในหัวใจ เขาก็ชุ่มชื่น เขาก็มีความชื่นบาน สิ่งที่ชื่นบาน สังคมบัณฑิต อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบหัวหน้าที่เป็นพาลๆ หัวหน้าที่เป็นพาลมันทำลายหมู่คณะ มันทำลายคนอื่น ถ้าหัวหน้าที่เป็นธรรมเห็นไหม คบบัณฑิต บัณฑิตจะปลดเปลื้องความเศร้าหมอง จะปลดเปลื้องความกังวลใจ จะปลดเปลื้อง นี่ไง เทวดาเขารู้ความคิดอย่างนี้ เขาก็ชื่นชมคนที่คิดดีๆ สิ่งที่คิดดีๆ สิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน ความคิดที่ดี นี่มันอยู่ในหัวใจของผู้ที่คิดดีๆใช่ไหม แล้วเราเป็นคนคนหนึ่ง จะคิดที่ดีๆ ไหม

ถ้าคิดแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วความคิดสิ่งที่ดีมันเป็นสมาธิหรือยัง สิ่งที่เป็นความคิด สิ่งที่เป็นการเสียสละ การจุนเจือกัน มันเป็นเรื่องของโลก แล้วเราก็เกิดมาเป็นโลก แล้วเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระก็โลก เพราะเราบวชเป็นพระแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ก็มีสังฆะมีหมู่คณะ สิ่งที่หมู่คณะมันก็หมุนเวียนไป สิ่งที่หมุนเวียนเหมือนกับร่างกายมนุษย์ ถ้าร่างกายมนุษย์ ถ้าสิ่งที่มันเป็นปกติ มันก็จะเป็นร่างกายเข้มแข็ง ทำการทำงานมันก็สะดวกสบาย

สังคมก็เหมือนกัน สังฆะก็เหมือนกัน ถ้าสังฆะนั้นมีความเห็นลงเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน การกระทำอะไรกัน การขับเคลื่อนกันไป การประพฤติปฏิบัติมันก็สะดวกสบาย การประพฤติปฏิบัติ จะนั่งสมาธิจะภาวนามันเกื้อกูลกัน สิ่งที่เกื้อกูลกันสิ่งนี้...สาธุ ถ้าทำได้...สาธุ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คุยธรรมะกัน สิ่งที่ธรรมะ

เราไม่คุยเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ วางไว้ พอที โลกนี้อนิจจังไม่ต้องไปห่วงมันหรอก มีคนรับผิดชอบ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ มันไม่สูญสิ้นไปหรอก สิ่งที่ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ๆ สูญพันธุ์เพราะมนุษย์ทำลายมนุษย์กันเอง สูญพันธุ์เพราะมนุษย์ชิงดีชิงเด่นกันไปเอง ทางวิชาการจะอวดรู้ๆ กันไป สิ่งที่อวดรู้กันไปนะ มันเป็นเรื่องสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มีความเป็นไป มันจะเป็นไป มันจะคัดเผ่าพันธุ์ของมันขึ้นมา แล้วเผ่าพันธุ์อย่างนี้

ดูสิ ดูเวลาสมัยพุทธกาล สหชาติ การเกิดเป็นสหชาติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในศาสนายุคหนึ่งจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง องค์หนึ่งเห็นไหม องค์หนึ่งเท่านั้นเลย แล้วเกิดเป็นสหชาตินี่มันสูงสุดอยู่แล้ว แล้วโลกนี้เป็นอนิจจัง มันก็เคลื่อนไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งพระพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” แล้วยุคคราวนี่ ยุคคราวที่ครูบาอาจารย์ของเราที่มารื้อค้น รื้อค้นขึ้นมา รื้อค้นขึ้นมาจากใจนะ งานของใจ งานทางร่างกาย งานการกระทำ เรายังว่างานนี่ยังต้องช่วยเหลือจุนเจือกัน ยังต้องช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อให้เราทำงานพอเป็นไปได้

แต่เรื่องงานของใจนี่มันมืดแปดด้าน มรรค ๘ มรรค ๘ มรรคนี่ โอ้โฮ! มรรคคือความเป็นไปของจิตมันเป็นมรรค ๘...มืดแปดด้านไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย ทำอะไรมามืดแปดด้านเลย แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างหยาบๆ นี่ทำให้มันสงบตัวลง กิเลสอย่างหยาบๆ ทำให้มันดีขึ้นมา มันก็เป็นกิเลสอย่างละเอียด ไม่รู้เลยว่านั้นก็กิเลสเหมือนกัน คิดว่าเป็นธรรมนะ

นี่แหละมันจะคัดพันธุ์ สิ่งที่คัดพันธุ์คือเข้าไม่ถึงไง เข้าไม่ถึงสิ่งนั้นนะ แล้วก็ไปยอมจำนน แล้วก็หมดอายุกาลไป เพราะอะไร เพราะมันต้องสึก มันต้องตายไป หมดอายุขัย สิ่งที่ว่านึกว่าเป็นธรรมก็ไปยอมจำนนกับสิ่งที่เป็น...นี่ไง อุปกิเลส อุปกิเลส ๑๖ ความว่าง แสงสว่างต่างๆ ที่ว่าเป็นธรรมๆ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ อุปกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันเป็นกิเลสอันละเอียด สิ่งที่ละเอียดมันก็เป็นเหยื่อล่อ เหยื่อล่อให้เราไปติดมัน ทั้งๆ ที่เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเอาชนะมันนะ แต่ปฏิบัติไปแล้วปฏิบัติไปยอมจำนนกับกิเลส นี่ไง แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ นี่มันคัดเผ่าพันธุ์ คัดเผ่าพันธุ์จนเข้าไม่ถึงธรรม

แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมนี่สันทิฏฐิโก สิ่งที่สันทิฏฐิโกมันจะรู้จริงเห็นจริง รู้จริงเห็นจริง ดูสิ เวลาฆ่ากิเลส สัตว์ที่มันโดนคัดเผ่าพันธุ์ที่มันตายไปแล้วมันจะฟื้นมาได้ไหม ร่างกายของมันจะได้เป็นอาหารของฝูงสัตว์นั้น ร่างกายของมันเพื่อจะอุทิศให้สัตว์ตัวอื่นมันได้กินได้ดำรงชีวิตของมัน เพื่อมันจะดำรงชีวิตของมันต่อไป เพื่อมันจะได้เดินทางของมันต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นไป ชีวิตเราถ้าเราประพฤติปฏิบัติไม่ถึง เราต้องตายไป ตายไปแล้วชีวิตเราให้เป็นอาหารของใคร มันเป็นอาหารของมารไง มารมันหัวเราะเยาะ นี่หรือศากยบุตร นี่หรือนักรบ ขนาดแค่เงาของมาร แค่การกระทำของใจขนาดนี้มันยังไม่รู้ทันเลย แล้วมันจะไปรบกับกิเลสได้อย่างไร สิ่งที่รบกับกิเลสขึ้นมา มันต้องเห็นตัวมันสิ

สิ่งที่จะเห็นตัวกิเลส สิ่งที่ทำลายกิเลสขึ้นมา จิตนี้ให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามา สงบเข้ามาถ้ามันย้อนไปเห็นกิเลสนะ เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม นี่เห็นกิเลสทำไมต้องเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมล่ะ? เพราะกาย เวทนา จิต ธรรม นี่มันเป็นเครื่องที่อยู่ ดูสิ เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์อยู่ที่ไหน มนุษย์ก็ยังเป็นเรา มนุษย์ที่นั่งอยู่นี่ไง เป็นพระเป็นเจ้านั่งอยู่นี่มนุษย์

นี่มนุษย์เหรอ แล้วก็มองกันว่ามนุษย์นี่มันมีธาตุ ๔ ธาตุ ๔ คือร่างกายนี่เป็นมนุษย์ แล้วความรู้สึกของมนุษย์อยู่ที่ไหนล่ะ แล้วเอาซากศพที่เขานั่งตายเอามานั่งคู่กัน นั่นก็ซากศพกับเรา แล้วใครเป็นมนุษย์ล่ะ ไอ้นั่นคือซากศพ มันไม่มีจิตวิญญาณ ไอ้เรามันมีจิตวิญญาณอยู่ แล้วสิ่งที่เราจะค้นคว้า ค้นคว้ามาจากไหน สิ่งที่เป็นมนุษย์ มนุษย์คือมันมีจิตวิญญาณนี่ไง จิตวิญญาณคือความรู้สึก นี่แก้ไขกันที่นี่ นี่ศาสนามหัศจรรย์ๆ ตรงนี้ มหัศจรรย์เพราะอะไร เพราะความรู้สึกมันจะแก้ไขของมัน แล้วมันการเกิดการดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน

สิ่งที่เป็นธรรม นี่ธรรมเหนือโลก โลกพิสูจน์กันไม่ได้

โลกพิสูจน์ เห็นไหม ดูสิ เวลาการศึกษาเห็นไหม เราจะทำการศึกษากันให้ในชั้นเรียน ให้ยกชั้นๆๆ แล้วการประพฤติปฏิบัติมันจะยกทั้งหมดได้ไหม? ยกทั้งหมดไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมีความแตกต่างทางหัวใจ มันมีแตกต่างในความรู้สึก ในการศึกษาของเขา เขาจะมีคณะมีต่างๆ เห็นไหม มีแยกออกไปเป็นการศึกษาทางวิชาการต่างๆ นั่นเขายังแยกส่วนนั้น แต่เวลาเรื่องของจริตนิสัยมันละเอียดกว่านั้นอีกนะ มันละเอียดลึกลับ สิ่งที่มันละเอียด ละเอียดเพราะอะไร ละเอียดเพราะมันเป็นนามธรรม ละเอียดเพราะเราไม่รู้

เรา แม้แต่ความค้นคว้าหาตัวเองเพื่อให้จิตสงบนี่เรายังทำกันไม่เป็นเลย ถ้ามันทำให้เป็นขึ้นมานะ พอจิตมันสงบเข้ามา มันจะมีความสุข มีความสุขนะ มีความสุขเห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เราจะตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะตามทันครูบาอาจารย์นะ ในการประพฤติปฏิบัติ โสดาบัน สกิทาคา อนาคา มันตามทันกันได้ ถ้าตามทันกัน ตามทันกันนะ ตามทันกันตามความเห็นอันนั้น แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะรู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นขึ้นนี้ ขั้นนี้ ขั้นนี้ แล้วมันจะให้ค่าสมกับตามความเป็นจริงของมัน

แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ กิเลสใช่ไหม กิเลสอย่างละเอียดเห็นไหม ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทาคา พอสกิทาคา เอาแล้วนิพพานๆ นี่มันเป็นไปมันถึงตามไม่ทัน พอตามไม่ทัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นี่เวลาธมฺมสากจฺฉา ดูบันได ๔ ขั้น คนที่ก้าวขึ้นบันได ๔ ขั้น มันจะรู้ว่าบันได ๔ ขั้นมันก้าวขึ้นไปอย่างไร แล้วเราก้าวขึ้นไปขั้น ๒ ขั้น แล้วเราบอกว่า ๔ ๔ ๔ เพราะอะไร ๔ เพราะก้าวซ้ำ เหยียบก้าวขาซ้ำที่ไง ก้าวขาอยู่ที่บันไดขั้นเดิมแต่เข้าใจว่าก้าวข้ามขึ้นไปเป็นชั้นๆ ไง

นี่มันต้องมีเหตุมีผล ผิด ผิดเพราะอะไร ที่ไม่ได้ก้าวขึ้นไปเพราะอะไร ที่ไม่ได้ก้าวขึ้นไปเพราะเราซอยเท้าอยู่กับที่ แล้วเราซอยเท้าอยู่กับที่ คิดว่าการซอยเท้าอยู่กับที่เป็นการก้าวข้ามขั้นตอนเห็นไหม มีครูมีอาจารย์มันเทียบเคียงกันอย่างนี้ไง ถ้าเทียบเคียงกันอย่างนี้ นี่ไง เวลาปฏิบัติไปนึกว่าปฏิบัติ ปฏิบัติ เราปฏิบัติแล้วมารมันจะส่งเสริม มันจะมาสาธุกับเรานะ “โอ้! บุคคลคนนี้ พระองค์นี้เป็นผู้ปฏิบัติ เราต้องสาธุการ”

สาธุการถ้าเป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิ ที่เทวดาสัมมาทิฏฐิจะเห็นการกระทำ จะสาธุการนะ แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเห็นไหม เห็นการกระทำเดินจงกรม “อู้หู! มาเดินจงกรมอย่างนี้ เดินจงกรมแล้วจะเป็นสมาธิได้อย่างไร ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติกันโอ้อวดกัน นี่มาปฏิบัติ”

นี่โอ้อวดใคร อยู่ในป่าในเขาโอ้อวดใคร โอ้อวดตัวเองเหรอ? ก็โอ้อวดกิเลสไง จะเหยียบย่ำกิเลสไง แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเขาคิดได้ เขาเห็นได้ เพราะเขาคิดไงว่าสิ่งที่การปฏิบัตินี้มีผู้รู้เห็นไง เพราะเขาเห็น ดูเทวดาสิ ความโง่ของเทวดา คิดว่าเขาเห็น เขาเห็นเขาคิดในใจว่าสิ่งนี้เป็นการโอ้อวด แต่มันอยู่ในป่าคนเดียว มันจะไปโอ้อวดกับใครล่ะ มันทำเพื่อใคร มันก็ทำเพื่อจะไม่ให้กิเลสมันแสดงตัวออกมาใช่ไหม แสดงตัวขึ้นมามันก็คายพิษออกมา มันก็ทุกข์ทุกที

แต่ถ้าเราทำ เราตั้งสติสัมปชัญญะแล้วเราเดินจงกรมของเรา เรากำหนดคำบริกรรมของเราให้จิตมันสงบเข้ามาได้ ถ้าจิตสงบเข้ามาได้เห็นไหม ผลงานอันนี้มันเป็นความเห็นของใจ ใจมันได้สัมผัสขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมามันก็มีความสุขขึ้นมา ถ้ามีสมาธิขึ้นมา นี่แค่มีพื้นฐานเท่านั้นนะ

ในศาสนา ดูสิ ดูที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส นี่มันก็เป็นสมาธิ แต่เพราะไม่มีศาสดา อาฬารดาบสบอกว่า “เจ้าชายสิทธัตถะทำได้เสมอเรา เป็นศาสดาได้แล้ว เป็นผู้สอน” ผู้สอนนะ การเข้าสมาบัติไง ปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตถฌาน ตติยฌาน ฌาน ๔ เห็นไหม ฌาน ๔ มันต่างกันอย่างไร? ฌาน ๔ มันต่างกันด้วยกำลัง

เหมือนกับถ้าเป็นของกรรมฐานเรา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นี้ขณิกะกับอุปจาระมันต่างกันอย่างไร แล้วอุปจาระกับอัปปนาสมาธิมันต่างกันอย่างไร นี่ไง ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน มันต่างกันอย่างไร นี่กำลังของจิตมันต่างกันอย่างไร อากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันต่างกันอย่างไร รูปฌาน อรูปฌาน มันต่างกันอย่างไร

ต่างกันเห็นไหม ดูสิ แล้วบอกว่า นี่เข้าได้ การว่าเข้าได้นี่มันมีขั้นตอนของมัน ขั้นตอนการหยาบละเอียดขึ้นมา พอขั้นตอนการหยาบละเอียดขึ้นมา การเข้าเห็นไหม การเข้าฌานสมาบัติ อากาสานัญจายตนะ กำหนดเป็นอากาศ แม้แต่ตัวความคิดทุกอย่างเป็นอากาศหมดเลย วิญญานัญจายตนะ วิญญาณคือความว่าอากาศนั้น อากิญจัญญายตนะ รู้ในวิญญาณนั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญา นี่ว่าสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สัญญาก็ไม่ใช่ แล้วใครรู้สัญญาใช่หรือไม่ใช่ล่ะ

นี่ไง สิ่งที่มันต่างในสมาบัติ ความต่างในสมาบัติ นี่ไง ถึงว่าเป็นศาสดาสอนได้ไง สอนได้เพราะถ้าเข้าได้ เข้าฌานสมาบัติได้ มันถึงว่ารู้วิธีการเข้าและวิธีการออก...มันก็แค่นั้น แค่นั้นเพราะว่าอะไร เพราะเป็นศาสดาสอนเรา แค่นี้มันไม่ใช่มรรค นี่ไงสมาธิ สมาบัติ สิ่งที่สมาธิ สมาบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์ เรื่องอย่างนี้มันเป็นขั้น มันเป็นเรื่องของจิตที่มันเข้าและออก เข้าไปฝึกฝน

เหมือนกับนกมันย้ายถิ่นฐาน ย้ายถิ่นฐานรอบหนึ่ง เป็นไปรอบหนึ่ง ได้ประสบการณ์มา ย้ายจากไซบีเรียลงไปถึงสุวรรณภูมิ แล้วก็บินกลับเข้าไป การบินไปบินมานี่มันได้ประสบการณ์ เพราะมันบินมามันต้องมีที่พักของมัน มันต้องมีแหล่งอาหารของมัน มันต้องมีความเป็นไปของมัน

จิตมันเข้าออกก็เหมือนกัน สิ่งที่เข้าออกอย่างนี้มันก็ได้ประสบการณ์ แล้วมันรู้อะไรล่ะ มันรู้อะไร มันรู้อริยสัจไหม มันมีความเป็นไปความจริงของมันไหม นี่ถ้าเป็นโลกอนิจจังมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เป็นธรรมนี่อาศัยสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธอาฬารดาบส ฌานสมาบัติ แล้วฌานสมาบัติมันเกิดมรรคอย่างไร เพราะมันไม่เห็นทุกข์ มันไม่รู้จักทุกข์ เพราะอะไร เพราะจิตมันเข้าสมาบัติ เข้าตั้งแต่รูปฌาน อรูปฌาน พอเข้าไปแล้ว เข้ามันก็ออกมาๆ เหมือนเราทำงานอยู่นี่ เราได้ผลงานมาใช่ไหม เราทำงานเรา เราทำงานอะไร เราจะอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำไร่ไถนา หรือเราจะทำงานทางธุรการ ทำงานทางเอกสาร เราทำเสร็จแล้วมันก็เป็นผลงานนั้นไง ถ้าทำเอกสารก็กระดาษกองอยู่นั่นไง อยู่ในแฟ้มนั่นน่ะ เราทำไร่ทำนาเราก็ได้ข้าวมาไง

นี่ไง แล้วเข้าฌานสมาบัติมันก็ได้ผลงานความรู้สึกของจิตมาไง แล้วตัวเราอยู่ไหนล่ะ นี่ไง ถ้ามันย้อนกลับเข้ามา ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา ไอ้ตัวที่ทำงานขึ้นมามันเป็นงานในฌานสมาบัติ มันไม่ใช่งานแก้กิเลส งานแก้กิเลสถ้าจิตมันสงบเข้ามา ตัวจิตมันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิตัวสัมมาสมาธินี่ย้อนออกไป นี่ไงที่ว่าเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นด้วยอะไร? เห็นด้วยจิต ถ้าเห็นด้วยจิต เพราะอะไร เพราะกิเลสมันมีอุปาทาน

เราทำหน้าที่การงาน เราหาเงินหาทองมา สิ่งนั้นมันเป็นผลงานทางโลก เป็นสมบัติของโลกที่เขาให้ค่ากัน ดูสิ การเสื่อมค่าของธนบัตร การเสื่อมค่าของเงินกี่เปอร์เซ็นต์ การเสื่อมค่าของเงิน ค่าเงินอ่อนค่าเงินแข็ง การเสื่อมค่า สิ่งนี้มันของโกหกทั้งนั้นน่ะ เรามาถือกระดาษไว้แล้วก็ให้ค่าเสื่อมค่ากัน มันสมมุติทั้งนั้นน่ะ นี่เรื่องงาน งานของโลกๆ ถ้ามันงานของโลกอย่างนั้น

ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาถึงตัวใจ แล้วตัวใจมันเห็น มันออกไป ออกไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เพราะอะไร เพราะมันมีอุปาทาน นี่เห็นกิเลสเห็นอย่างนี้

แล้วปัจจุบันนี้การประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติแบบโลกไง แบบวิทยาศาสตร์ไง เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นทุกคน เห็นด้วยตาเนื้อ เห็นด้วยวิชาชีพ ดูสิ สัปเหร่อมันเผาศพทุกวัน ย่อยสลายตัวมัน มันเห็นอนัตตานะ สัปเหร่อหน้าที่ของเขา เขาเอาศพเข้าไปในเตา แล้วเขาใช้พลังงานเผาด้วยวิธีการอะไรก็แล้วแต่ เขาเห็นมันแปรสภาพตลอด จากเนื้อสดๆ นี่ ศพตายมา ๓ วัน ๗ วัน นี่เผา เดี๋ยวออกมาเป็นผุยผงหมดเลย เป็นอนัตตาไหม แล้วมันได้อะไรมา มันได้ตังค์ไง มันได้หน้าที่การงานของเขา เขาทำงานเสร็จของเขา เขาคิดเป็นธุรกิจของเขาไป มันก็ได้เงินมาดำรงชีวิตของเขา นี่อนัตตาอย่างนั้นเหรอ อนัตตาโดยตาเนื้อเหรอ

เดี๋ยวนี้นะ พร่ำเพ้อกันว่าเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม เวทนาเป็นอย่างไร...ในเมื่อจิตมันไม่สงบเข้ามา ในเมื่อจิตมันไม่...ถิ่นฐานการวางไข่ของนก ในเมื่อมันเข้าไม่ถึงตัวใจ ถ้ามันถึงตัวใจ แล้วถ้าใจมันเห็น มันไม่เห็นแบบเราเพ้อเจ้อกันหรอก เดี๋ยวนี้กรรมฐานเพ้อเจ้อ แหม! เห็นโครงกระดูก การเห็นต่างๆ นี่มันเห็นโดยนิมิต มันเห็นโดยการส้มหล่น ถ้าส้มหล่นนะจิตมันเห็นได้

แต่เดิมเจ้าชายสิทธัตถะถ้ายังไม่บรรลุธรรมขึ้นมา สภาวะแบบนี้มันยังไม่มี ถึงจะเห็นขึ้นมานะ เห็นมาก็ทำอะไรไม่เป็น แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุธรรมขึ้นมา กาย เวทนา จิต ธรรม นี่สติปัฏฐาน ๔ เป็นที่ทำงานของอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจกับสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วมรรค ๘ สติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ คือสัมมาทิฏฐิ สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สิ่งต่างๆ

ถ้าคนมันหยาบมันคิดเรื่องโลก มันว่าสัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ ทำหน้าที่การงานชอบ ถ้าชอบอย่างนั้นเป็นพระอรหันต์หมด มันเป็นพระอรหันต์ในแบบฟอร์ม มันเป็นพระอรหันต์ในเอกสาร กระดาษมันเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ในเอกสาร ในตำรา นี่มรรค ๘ การเลี้ยงชีวิตชอบ การทำงานชอบ มันจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้อย่างไร

มันเป็นพระอรหันต์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในใจของครูบาอาจารย์ของเรา ในครูบาอาจารย์ของเรามันเป็นเอกสารไหม มันเป็นแบบฟอร์มไหม มันเป็นสิ่งที่เราจัดตั้งขึ้นมาหรือเปล่า มันไม่เป็นสักอย่างหนึ่งเลย มันเป็นความจริงที่สันทิฏฐิโก ปัจจุบันๆ ปัจจุบันในจิต เดี๋ยวนั้นๆๆๆๆ ที่มันเห็นเดี๋ยวนั้นแล้วมันคลายตัวเดี๋ยวนั้นแล้วมันทำลายเดี๋ยวนั้นเห็นไหม นี่คืออริยสัจ นี่ก็เป็นความจริงจากภายใน

เวลาทำขึ้นมา เวลาเห็นกายมันไม่เห็นแบบที่เป็นเอาเอกสารมากางกัน “อริยสัจต้องเป็นอย่างนี้ เป็นพุทธพจน์ เป็นพุทธพจน์ท่านจะค้านพุทธพจน์เชียวหรือ พุทธพจน์บอกว่าเป็นอย่างนี้นะ”

โลกนี้เป็นอนิจจัง ความคิดที่รู้นี่มันรู้มาจากสังขาร อ่านมาจากเอกสารนี่มันเป็นความคิดจากสังขาร มันเป็นปริยัติ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาเลย แล้วไม่เป็นความจริง แล้วยังบังคับให้เชื่อด้วยนะ บังคับให้เป็น จะบังคับให้จิตนี้เป็นพระอรหันต์ ศึกษาเล่าเรียนมาหมดเลย เป็นพุทธพจน์ รู้ท่องจำได้หมดเลย โลกนี้เป็นอนิจจังนะ ความรู้อย่างนี้รู้แบบโลก รู้โดยสัญญา รู้โดยขันธ์ รู้โดยขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วไปรู้ที่ขันธ์ ๕ สิ่งที่รู้โดยขันธ์ ๕ นี่มันเป็นขันธ์ ๕ มันเป็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม ถ้าเราทำความสงบเข้ามา จิตมันต้องปล่อยขันธ์ ๕ เข้ามา เพราะขันธ์ ๕ นี่เป็นเปลือก ผลไม้ เราไปซื้อผลไม้มา ผลไม้ทุกอย่าง ผลไม้ที่มีเปลือก เขาจะเอาเปลือกมาด้วย แล้วเราไม่ต้องการเปลือก แล้วเราเอาเปลือกมาทำไม ซื้อส้มมา ส้มที่ไม่มีเปลือกซื้อมา เขามีขายให้ไหม ถ้าเขามีขายให้ขึ้นมา เอามาจะรักษามันอย่างไร มันจะช้ำ มันจะเสียไหม ซื้อส้มมามันก็ต้องมีเปลือกมาด้วยแล้วเรามาแกะเปลือกทิ้ง แล้วเรากินส้ม

นี่ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ๆๆ นี่เป็นจิต นี่รู้...นี่มันเปลือก ความคิดของเราการศึกษาของเรา เปลือก ถ้าเราทำความสงบเข้ามา จิตมันสงบเข้ามามันต้องผ่านเปลือกเข้าไป มันถึงจะถึงตัวเนื้อส้ม ตัวเนื้อส้มคือตัวจิต ตัวจิตมันสงบเข้ามาถึงเนื้อส้ม เนื้อส้มหวาน เปลือกส้มขม เรานี่ทั้งขื่นทั้งขม ชาวพุทธนี่ทั้งขื่นทั้งขมเพราะเอาขันธ์ ๕ เอาเปลือกของมันไปศึกษาธรรม แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม ปากเปียกปากแฉะ

โลกนี้เป็นอนิจจัง ความจำเป็นอนิจจัง การศึกษาเป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” เป็นทุกข์ขณะที่มันเสื่อมสภาพ เป็นทุกข์ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล เป็นทุกข์ สิ่งที่จิตเรานี่เรามีอำนาจวาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อ แล้วเราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วมันปิ๊ง มันปิ๊งเพราะอะไร อู้หู! อู้หู! มันซึ้งใจ ขณะที่จิตนี่มันสมดุล จิตที่มันไม่มีทุกข์มาบีบคั้น มันไม่มีสิ่งใดๆ มาบีบคั้นนะ

แล้วไปศึกษาธรรม เราก็เดินไปดูในธนาคาร ในธนาคารเงินเยอะไปหมดเลย อู้หู! เงินคนนั้นก็เป็นเงินแค่นี้ แล้วเงินเราล่ะ เงินเราไม่มี เพราะเราไม่มีเงินฝากในธนาคารนั้น เราไม่สามารถเบิกธนาคารนั้นได้ แต่เราเดินดูได้ นี่ศึกษาธรรมโดยปริยัติเป็นอย่างนั้นน่ะ ไปดูทรัพย์สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในการดูทรัพย์มา ดูสิ เงินนี่ถ้าเราประกอบสัมมาอาชีวะใช่ไหม เราได้เงินมา เงินนี้เราฝากธนาคารได้ ถ้าเราทำสมาธิขึ้นมา สมาธิก็เป็นของเรา ถ้าจิตมันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมนะ มันยิ่งเงินของเรา เราจะสร้างคุณประโยชน์อะไร เงินของเรา เราจะไปทำธุรกิจอย่างไรต่อเนื่องกันไป ถ้ามันต่อเนื่องกันไปนะ เพราะเรามีเงินใช่ไหม เพราะเรามีต้นทุนใช่ไหม เพราะเงินของเราสามารถใช้หนี้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เงินของเรามันเป็นเงินสดๆ เลย

ถ้ามีสัมมาสมาธิ ถ้ามีสมาธิขึ้นมา มีหลักของใจขึ้นมา นี่ที่วางไข่ของนก มันที่วางไข่ มันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ที่มันจะมีดำรงเผ่าพันธุ์ของมันอีกนะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันน้อมไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ความเห็นของใจที่เห็นตามความเป็นจริงจะไม่เป็นอย่างที่เราคาดหมายกันเลย ไม่เป็นตามความจริงเลย เพราะมันจะสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนคือมันสะเทือนกิเลส

นี่ไง ที่บอกเห็นกิเลส เห็นกิเลส โม้กันปากเปียกปากแฉะนะ กิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสสิบห้า ตัณหาพันห้าร้อย ตัณหาห้าล้าน ว่ากันไป แต่ไม่เคยเห็นตัวมันเลย ไม่เคยรู้จักตัวมันเลย ถ้าไม่รู้จักตัวมันเลย นี่ไง ความจิตที่มันไม่สงบเพราะกิเลสมันพองตัว แล้วเราศึกษาขึ้นมาก็ศึกษาโดยกิเลส ขณะที่มันมีความชุ่มชื่น มันมีความร่มเย็น เพราะอะไร เพราะเราอาศัยกางร่มขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่มธงของพุทธศาสนา เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง เราได้อาศัยร่มธงนี้ เราเป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้าน แล้วเราศึกษา เราก็อาศัยกางร่มคนอื่น แต่ร่มเราไม่มี

แต่ถ้าจิตสงบขึ้นมานี่เรามีร่ม เราได้กางร่มกันแดดกันฝน จิตถ้าเป็นสมาธิมันมีที่อยู่อาศัย จิตที่มีสมาธิมันมีที่หลบฝนหลบแดด ถ้าจิตเป็นสมาธิเราจะมีร่มของเราเอง ถ้าเรามีร่มของเราเองแล้วถ้าเรากางร่มไม่เป็น เราหุบร่มไม่เป็น ร่มเรานี่เราใช้ประโยชน์ไม่ได้นะ เราจะกางฝืนไปกับสิ่งที่เราเก็บเข้าไปในสถานที่เขา เขามีที่แขวนร่ม เขามีที่เก็บร่ม แล้วเราก็ไม่รู้จักเก็บไม่รู้จักเป็นไป นี่ไง คือการที่เราเคลื่อนไหว เราบริหารจัดการให้มันเป็นมรรคขึ้นมาไม่เป็น ถ้ามรรคขึ้นมาไม่เป็นมันก็เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา

ขณะจิตเป็นสมาธิมันก็เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” เป็นทุกข์ไหม จิตเสื่อมเป็นทุกข์ไหม? ทุกข์ แล้วเมื่อเป็นทุกข์เป็นอนัตตาไหม? เป็นอนัตตา แล้วเป็นธรรมหรือยัง นี่ไง มันครบไตรลักษณ์แล้วทำไมไม่เป็นธรรมล่ะ...ไม่เป็น เพราะมันเป็นธรรมชาติของสัจจะความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ความรู้จริงโดยมรรคญาณ มันไม่เป็น มันไม่เห็น มันไม่จับต้อง มันไม่เป็นไป เห็นไหม

การเห็นกายขึ้นมามันสะเทือนหัวใจอย่างนี้ ถ้าเห็นกายโดยสัจจะความจริง คือเห็นด้วยตาของใจ ถ้าตาของใจเห็นกายมันสะเทือนหัวใจ แล้วเราขยายส่วนแยกส่วน การขยายส่วนแยกส่วนคือการที่มันแปรสภาพให้มันเห็น นี่ไตรลักษณ์มันเกิดตรงนี้ สิ่งที่มันเป็นไตรลักษณญาณมันจะเกิดตรงนี้ ไอ้สิ่งที่มันจำมา สิ่งที่มันเป็นไปมันโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่โลกๆ มันไม่ใช่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สิ่งที่เป็นการประพฤติปฏิบัติ มันจะปฏิบัติขึ้นมาจากเรา ถ้าปฏิบัติขึ้นมาจากเรา ไตรลักษณ์มันเกิดจากการกระทำ มรรคญาณมันเกิดอย่างนี้ ธรรมจักรมันเกิดอย่างนี้ แล้วปัญญามันเกิดอย่างนี้ โลกุตตรปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นมา โลกุตตรปัญญามันจะเกิดกับเรา ถ้าเราใช้โลกุตตรปัญญา ปัญญามันจะหมุนของมันไป หมุนเข้าไป ยิ่งฝึกฝนเข้าไปยิ่งเป็นไปนะ มันจะหมุนเข้าไป นี่ธรรมจักรมันหมุน ถ้าธรรมจักรมันหมุน ปัญญามันหมุน มันหมุนขึ้นมา ดูสิ เวลาหมุนขึ้นไปจนปัญญามันเข้มแข็งขึ้นมา

เวลาเราจุดเห็นไหม เวลาเราจะทำลายสิ่งที่เราไม่ต้องการใช้สอย กว่าเราจะจุด ยิ่งเป็นขยะเปียกจุดไม่ติดเลย จุดไม่ได้เลย แต่ถ้ามันติดของมัน มันเผาขึ้นมานะ มันเผาของมันไป นี่ก็เหมือนกัน ขั้นของปัญญาคือขั้นการเผาการทำลาย ตบะธรรม ตบะธรรมจะทำลายกิเลสอวิชชา อวิชชาความหลงไปของใจที่มันหลงๆ อยู่นี่ ถ้ามันทำขึ้นมาได้เห็นไหม “เอโก ธัมโม” จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้เป็นเอก เอโก ธัมโม

“รสของธรรมชนะรสทั้งปวง” รสของธรรม ธรรมารสเกิดขึ้นมา นี่การกระทำของมัน การกระทำของจิต จิตมันจะเผาทำลาย ตบะธรรมมันจะเผาผลาญ เผาผลาญด้วยปัญญานะ เผาผลาญโดยการคลี่คลาย

ดูสิ เวลาขยะเราเผามัน เรายังต้องกลับเลย กลับด้านขึ้นด้านลงให้มันเผาให้มันหมดให้ได้ ถ้ามันเผาให้หมด นี่ไง เวลาปัญญามันหมุนไปรอบๆๆ หนึ่ง มันก็เหมือนทำลายหนหนึ่ง มันปล่อยหนหนึ่ง มีความสุขหนหนึ่ง ความสุขหนหนึ่งเป็นตทังคปหาน มันไม่ใช่ความจริงนะ ตทังคปหานของชั่วคราว ไฟมันติดแล้วนี่เป็นของชั่วคราว มันเป็นไปเป็นของชั่วคราว เราก็ต้องซ้ำ ต้องหมั่นแยกหมั่นแยะ หมั่นขยัน หมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า การซ้ำแล้วซ้ำเล่า สมาธิยังต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย สมาธิเจริญแล้วเสื่อม ถ้าเราทำขึ้นมา เรามีสติสัมปชัญญะ ถ้ามันมีบรรยากาศดี อารมณ์ดี สมาธิวันนี้ทำได้ง่าย แล้วถ้าวันไหนอากาศไม่ดี วันไหนอารมณ์ไม่ดี สมาธิทำได้ง่ายไหม ทำง่ายทำยากมันก็อยู่ที่เหตุปัจจัยใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันจะเกิด มันอยู่ที่เหตุปัจจัย อยู่ที่ว่าเราฝึกฝน เราหมั่นฝึกหมั่นฝน หมั่นคราดหมั่นไถ เห็นไหม นี่ปัญญาจากภายใน ถ้าปัญญาหมั่นฝึกหมั่นฝน มันฝึกฝนขึ้นมามันปล่อยหนหนึ่ง มันก็มีกำลังหนหนึ่ง มันชำนาญการหนหนึ่ง นกมันย้ายถิ่นหลายๆ รอบเข้า จนมันชำนาญของมันนะ หัวหน้าฝูงมันชำนาญของมัน มันพาฝูงไปไม่เจอภัยเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในการวิปัสสนา ในการเคลื่อนย้าย ในการให้มรรคญาณมันเกิด ให้ปัญญาโลกุตตระมันหมุนไปบ่อยครั้งเข้า มันก็ปล่อยบ่อยครั้งเข้า ปล่อยแล้ววงรอบหนึ่ง เราก็ต้องพยายามซ้ำวงรอบหนึ่ง เพราะอะไร เพราะยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเป็นอยู่ ยังมีความทุกข์อยู่ ยังมีเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ ยังมีหัวใจอยู่ ยังมีภพอยู่ มันจะเกิดได้

ฐีติจิต จิตเดิมแท้ สิ่งที่เกิดอยู่มันเป็นนามธรรมที่ไม่มีใครเห็น แต่เราเห็นนะ เพราะเรามีความรู้สึก ยิ่งจิตมันไปเห็นของมัน มันทำลายของมันนะ นี่ซ้ำ อย่าชะล่าใจนะ การชะล่าใจ ดูสิ ดูที่เขาทำธุรกิจของเขา ถ้าธุรกิจของเขายั่งยืนแล้วเขาประมาท เขาจะมีคู่แข่ง เขาจะมีคนมาทำเลียนแบบ เขาจะต้องก้าวเดินตลอดเวลา ธุรกิจของเขา เขาจะไม่อยู่กับที่นะ เขาจะต้องหาช่องทางของเขา เขาต้องขยายของเขาไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมีคนเดินตามมา

กิเลสก็เหมือนกัน ขณะที่ธรรมะจะชนะ เราใช้ปัญญาเข้าไปใคร่ครวญไป จนมันปล่อยวงรอบหนึ่งเป็นตทังคปหาน เราเข้าใจว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมๆ แล้วกิเลสมันโดนทำลายไป โดนทำลายไปมันก็หลบซ่อน มันหลบซ่อน มันหลบนะ กิเลสนี่ความฉลาดของกิเลส ดูสิ เรานี่ มนุษย์คนไหนก็แล้วแต่ พระเรานี่เรียนได้ดอกเตอร์เป็นอาจารย์สอนได้ศาสตราจารย์ กิเลสมันอยู่เหนือนั้นหมดเลย กิเลสมันอยู่เหนือดอกเตอร์นะ ดอกเตอร์นี่การศึกษามา การทำทางวิชาการมานี่มันสร้างมา ศาสตราจารย์ต่างๆ เราทำทางวิชาการมา แล้วเขาให้ใบประกาศกัน แต่กิเลสมันขี่หัวหมดเลย

แล้วคิดดูสิว่าพอมันขี่หัวขึ้นมา แล้วความคิดของเราโดนอยู่ใต้อำนาจของกิเลส มันจะฆ่ากิเลสได้ไหม? มันฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก ยิ่งมีสถานะขนาดไหนนะ อีโก้มันยิ่งพองตัวสิบเท่า ร้อยเท่า กูเก่ง กูแน่ แล้วไอ้เก่งแน่ ไอ้กิเลสมันหัวเราะเยาะ...ใช่ เอ็งเก่งเอ็งแน่ แล้วก็ส่งเสริมด้วย มันใส่ไฟเลย ออกไปข้างนอกหมดเลย เรื่องนี้เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตายเปล่านะ

ยิ่งมีกระดาษมีประกาศหลายๆ ใบ เวลาตายนี่เอาประกาศมาเผาแทนฟืนไปเลย ประกาศนั้นมันล่อให้มึงติดในโลก ประกาศนั้นเขาจะหลอกใช้มึง เพราะประกาศอันนั้นเขาบอกมีศักยภาพอย่างนั้น เขาก็เชิญออกไปทางโลก ออกไปทำการทำงานให้เขาไง ไอ้ประกาศนั้นมันกลับมาทำลายผู้ที่มีใบประกาศนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นธรรม มันไม่เป็นอย่างนั้น เรารู้ของเราคนเดียว เวลาเกิดขึ้นมา เรารู้คนเดียวนี่สันทิฏฐิโก รู้จากใจของเราคนเดียว เรานี่รู้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงแต่รับประกันเท่านั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ เราทำของเราขึ้นมา มันไม่ต้องมีใบประกาศกับใครหรอก เราถึงจะต้องละเอียดรอบคอบขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นจริงขึ้นมา ให้มันเป็นธรรมขึ้นมาจากสัจจะความจริง

ซ้ำแล้วก็แยกส่วนขยายส่วน จนถึงที่สุดนะ มันจะต้องเป็นสมุจเฉทปหาน ขณะที่มันสมุจเฉทปหาน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน แล้วต่างอันต่างจริง กายเป็นกาย กายก็จริงของกาย จิตก็จริงของจิต ทุกข์ก็จริงของทุกข์ แล้วมันปล่อย จิตก็จริงของจิต เพราะมันมีจิตเป็นตัวประสาน ตัวประสานเพราะจิตมันตัวความรู้สึกใช่ไหม กาย เวทนา จิต ธรรม ตัวจิต

แล้วระหว่างขันธ์กับทุกข์ล่ะ แล้วตัวจิตมันตัวรับรู้น่ะมันโง่ โง่มากๆ มันโง่เพราะอะไร มันโง่ เพราะมันมีอวิชชา อวิชชามันครอบงำมันไว้ มันอยากฉลาด มันอยากฉลาดมาก ดูสิ เราศึกษากัน เป็นดอกเตอร์ศาสตราจารย์มันก็ว่าฉลาดทั้งนั้นน่ะ...โง่ทั้งนั้น โง่กับอวิชชา โง่กับอีโก้ของตัว โง่กับความทุกข์

กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์นี่ ทุกข์มันเป็นความจริง ทุกข์มันเป็นความจริงอยู่แล้วเอาทุกข์มาขี่หัวทำไม ก็ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง แล้วถ้ามันแยกออกจากกัน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ทุกข์มันก็แยกออกไป ถ้าแยกออกไป เวลาตทังคปหานมันก็ปล่อยชั่วคราวๆ อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นความจริง มันสมุจเฉทปหาน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์

แล้วความรู้อันหนึ่ง ความรู้อันหนึ่ง ความรู้อันหนึ่ง จิตมันปล่อยหมดเลย สิ่งนี้มันแยกออกไป มันหลุดออกไป ต่างอันต่างจริง เพราะมันจริงของมันอยู่แล้ว สัจจะเป็นความจริงอันหนึ่ง มันเกิดขึ้นมาแล้ว ในเมื่อสัจจะความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว อริยสัจจะเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะกลับมาสมานกันให้เกิดความทุกข์ ให้เกิดสิ่งทุกข์รวมกับจิตขึ้นมาแล้วจะกลับมาขี่หัวเราอีก เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้มันไม่ใช่ความจริง

นี่มันต่างอันต่างจริง ทุกข์ก็จริงของทุกข์ จิตก็จริงของจิต ไอ้ความรู้จิตก็จริงของจิตใช่ไหม จิตก็คือตัวสมาน ถ้าจิตจริงของจิตแล้วสิ่งที่รับรู้มันเป็นสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้ว มันถึงว่า ต่อไปนี้เป็นสักแต่ว่า สักแต่ว่าเพราะมันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันรู้เท่าหมดแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นมา มันก็เกิดอีก มันเกิดขึ้นมาอีก ดูสิ ถ้ามันเป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้ามันไม่เกิดอีก เราก็ต้องไม่รู้รสอาหารสิ ลมพัดก็ต้องไม่รู้หนาวร้อนเป็นอย่างไรสิ

รู้รสชาติ รู้หนาว รู้ร้อนเหมือนเดิม แต่มันจริงของมัน จิตมันจริงของมันแล้ว มันจะไม่มีสิ่งใดๆ มาหลอกมันได้อีกแล้ว หลอกมันไม่ได้ เพราะมันฉลาดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ฉลาดขึ้นมา นี่ไง สิ่งที่การกระทำอย่างนี้มันเป็นสัจจะความจริง นี่ธรรม ธรรมอย่างนี้ต่างหากมันถึงเป็นธรรมเหนือโลก ถ้าธรรมเหนือโลก โลกจะมาครอบงำไม่ได้ โลกจะครอบงำธรรมอย่างนี้ไม่ได้เลย

แต่นี้เราเอาโลกเป็นใหญ่ โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง การศึกษาก็เป็นอนิจจัง เพราะเอาอาการของใจไปศึกษา เอาสิ่งที่เป็นอนิจจังไปศึกษาอนิจจัง เพราะการเกิดความคิด ความคิดเป็นอนิจจัง มันเกิดดับๆ เอาความเกิดดับไปศึกษาความเกิดดับแล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมะ สิ่งนี้เป็นธรรมะ เพราะมันเกิดดับด้วยกัน ดูสิ เวลาเอาไฟจุดใส่ฟืนมันต้องติด จุดใส่เชื้อไฟมันต้องติดอยู่แล้ว แล้วจุดมันก็หมดไปๆ พอไฟมันเผาไหม้ไปมันก็หมดไป แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม

ใช่ มันเป็นธรรมเพราะมันมีความร้อน มันเป็นธรรมเพราะมันเป็นไฟ ไฟมันต้องเผาไหม้ไป แล้วเป็นธรรมของใจหรือเปล่าล่ะ ใจรู้อะไร? ก็รู้การเผาไหม้อยู่ข้างนอก รู้การเผาไหม้อยู่ข้างนอก แต่ไม่มีตบะธรรมเผาไหม้กิเลสของตัว ถ้ามีตบะธรรมเผาไหม้กิเลสของตัวนี่มันเป็นสัจธรรมความจริง

แล้วสิ่งที่เป็นไฟ เป็นตบะธรรมที่มันเผาไหม้ เราเห็นไฟไหม ใครจะเห็นไฟเผาไหม้ใจเราไหม ไฟที่เกิดตบะธรรมที่เกิดขึ้นมาในหัวใจเรานี่มีใครเห็นบ้าง แต่ถ้าเราจุดไฟเผาขยะ ทุกคนเห็นหมดนะ เพราะเห็นเป็นเรื่องโลกไง เห็นไหม โลกเป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” แต่เป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่เรื่องของใจ

ถ้าเรื่องของใจมันเกิดกับเราคนเดียว จะนั่งอยู่ที่ไหนก็เกิดกับเราคนเดียว เว้นไว้แต่เทวดา อินทร์ พรหม หรือครูบาอาจารย์ที่เป็นทิพย์ สิ่งที่ท่านเคยผ่านงานนี้มาท่านรู้ รู้เพราะอะไร เพราะอวิชชา เพราะสิ่งที่เป็นกิเลสมันเป็นเชื้อไข แล้วมันเกิดตบะธรรมที่เผาอย่างนั้น สิ่งที่การเผาอย่างนี้มันรู้กันได้ สิ่งที่รู้กันได้ รู้กันได้แต่ของจริงกับของจริงเขารู้กัน ไอ้ของไม่จริงมันไม่รู้ มันไม่รู้แล้วมันก็เอาแต่เรื่องของโลกๆ มา เรื่องของโลกเอาเรื่องของโลกมายืนยันกัน ยืนยันอย่างนั้น ยืนยันเป็นประโยชน์กับใคร? ยืนยันเป็นประโยชน์กับพญามารไง ยืนยัน มันมีประโยชน์กับพญามัจจุราชไง เพราะมึงต้องตาย มึงต้องตายแล้วมึงต้องเกิด แล้วยังมึงต้องเป็นขี้ข้าของอวิชชาตลอดไป

แต่ถ้าเป็นตบะธรรมนะ มารคอตกนะ ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปจนมารตามจิตดวงนี้ไม่ทัน มันค้นหาขนาดไหนก็ค้นหาไม่เจอ เห็นไหม มันทำลายเพื่อให้มารตามดวงใจนี้ไม่เห็น มันไม่เห็นดวงใจเพราะอะไร เพราะไม่มีภวาสวะ เพราะไม่มีภพ เพราะไม่มีสถานที่ตั้ง เพราะไม่มีจุดเริ่มต้น เพราะไม่มีสิ่งที่มันค้นคว้า เพราะสิ่งที่มันไม่เห็น แต่มี มีเพราะมันเป็นธรรม

สิ่งที่มันเป็นธรรม ธรรมเหนือโลกไง สิ่งที่เป็นธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกมันอยู่ที่เรา มันอยู่ที่เรานะ อยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกที่มันเจ็บแสบปวดร้อนอยู่นี่ ความรู้สึกที่กิเลสมันขี่หัวอยู่นี่ กิเลสมันขี่หัวใจอยู่นะ ดูสิ ดูในโกดังสินค้า เขาเก็บของเขาสินค้าเขา ดูในบริษัทที่เขาขายอัญมณีสิ เขามีคลังเก็บของเขานะ เขาเก็บของเขา โอ้โฮ! อัญมณีเขามีคุณค่า เขาเก็บของเขานี่ในตู้ที่ปลอดภัยของเขา เขาเก็บไว้มหาศาลเลย ในคลังสินค้าเขาเก็บซ่อนของเขาตลอดไป

แล้วนี่ธรรมของเราเก็บไว้ที่ไหน ในธรรมของเราเก็บไว้ที่ไหน? นี่ไง มันเก็บไว้ในความรู้สึกอันนี้ ทางโลกเขามองกัน ต้องมีแหล่งที่เก็บ ต้องมีเอกสาร ต้องมีต่างๆ เก็บไว้ เก็บไว้ เก็บไว้สภาวะแบบนั้น เก็บไว้มันเป็นวัตถุหมด มันเป็นเรื่องของโลกหมด ถ้าเรื่องของธรรมนะ มันเก็บไว้ในหัวใจ เก็บไว้มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก นี่ไง ถ้ามันทำในสิ่งนี้แล้ว สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรู้สึกของมนุษย์ สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดคือหัวใจ หัวใจเท่านั้นที่สัมผัสกับธรรมะ

แล้วหัวใจของเรานี้มันสัมผัสกับอะไร? มันสัมผัสกับทุกข์หมด สัมผัสกับทุกข์ ศึกษาหรือการปฏิบัติก็ปฏิบัติแบบโลก แบบโลกก็ให้กิเลสมันขี่หัว ขี่หัวก็เวียนไปตามโลก...น่าเศร้า มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้านะ เราตั้งใจกันมา การเกิดและการตายเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก เพราะมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ

ดูสิ ในทางวิทยาศาสตร์เขาพยายามจะศึกษากัน ชีวิตนี้คืออะไร แล้วชีวิตนี้มาจากไหน ศึกษาไปแล้วก็จนตรอกหมด แต่ไปทำได้แต่เรื่องของวัตถุ ตัดแต่งพันธุกรรม ดีเอ็นเอไง จะสร้างมนุษย์ ตัวอ่อนจะสร้างกันขึ้นมา ยิ่งสร้างนะ เหนือกรรม เหนือการทำลาย มันจะมีกรรมซ้อนกรรมไป ดูสิ ดูการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ ดูสิ ดูพันธุกรรม ดูสิ่งต่างๆ มันมีกรรมมีเวรของมันขึ้นมา เวรกรรมอันนี้มันจะทำให้เราไปประสบสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เป็นแบบเรา

แต่สิ่งที่มันดีขึ้นมาเห็นไหม มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ เพราะร่างกายนี้เป็นรวงรังของโรค มันจะมีโรค แล้วจะบอกว่าร่างกายนี้จะให้มันสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ร่างกายเป็นพระอรหันต์ไม่ได้นะ มันเป็นพระอรหันต์ได้ที่หัวใจ หัวใจนี้ต่างหากที่มันจะรักษาให้สะอาดได้ ถ้ารักษาให้สะอาดได้ สิ่งนั้นมันไปคาดหวังไม่ได้หรอก ถ้ามันสัจจะความจริง เรามีสิทธิเสมอกัน นักวิทยาศาสตร์ หรือชาวนา หรือยาจก มันก็มีชีวิตเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์หรือจะเศรษฐีกฎุมพีขนาดไหนเขาก็เกิดตายเหมือนกัน

สิ่งที่ธรรมะจัดสรรมา ความเป็นไปของโลกจัดสรรมา มีค่าเท่ากัน การเกิดและการตาย

แต่มันต่างกัน ต่างกันที่คนเกิดมาเพื่อประโยชน์ เกิดมาเพื่อคุณงามความดี กับเกิดมาเพื่อทำลาย เกิดมาแล้ว เกิดเหมือนกัน มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน นี่ศึกษาธรรมมาเหมือนกัน แต่ถ้ามันเกิดมาโดยกิเลส เกิดมาโดยการทำลายมันหยาบ มันไม่เชื่อหรอก บอก “เรื่องของศาสนานี่เขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์ก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ก็ไม่มี” แล้วที่มันทำอยู่นั้นมันทำลายทั้งนั้นนะ มันทำลายทั้งนั้น แล้วถึงเวลามันต้องคอตก สิ่งนี้มันเวียนไป

ดูสิ พระโพธิสัตว์เวียนตายเวียนเกิดเพื่อสร้างอำนาจวาสนา เพื่อสร้างกำลัง เพื่อสร้างพละ พลังของใจ เห็นไหม ภวาสวะ แล้วมันเกิดสัมโพชฌงค์ ในสัมโพชฌงค์นี่ธัมมวิจยะ เกิดอินทรีย์ ๕ อินทรีย์ความเป็นไป นี่ตรงนี้สำคัญ ถ้ามันมีสิ่งที่มันเป็นอินทรีย์ อินทรีย์มันแก่กล้า ความเป็นไปของจิตมันมีจุดยืน คนมีจุดยืน คนมีความคิด ความคิดที่ดีๆ ความคิดดีๆ มันเกิดจากไหน

ดูสิ ที่เราฝึกกันอยู่นี่ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วว่าเกิดที่ปัญญา ปัญญาสิ่งที่ดีๆ ปัญญาเป็นสิ่งที่เกิดจากสัมมาสมาธิ สมาธินี่เป็นจิตที่เป็นสากล จิตที่มันปล่อยวาง แต่ถ้าไม่มีสติเห็นไหม ดูสิ ดูที่เขาทำเข้าฌานสมาบัติกัน เขาทำสิ่งที่เป็นเรื่องของคุณไสย เขาก็ใช้สมาธินะ ดูสิ ดูอย่างพวกที่เขาดูหมอกันต่างๆ ถ้าจิตเขานิ่ง จิตเขาดี เขาก็ทำได้ โดยพื้นฐาน ดูเด็กนักศึกษาสิ ดูการทำงานของเรา ถ้าคนมีสมาธิดีทำงานดีทั้งนั้นน่ะ คนมีสมาธิ คนมีสติ ทำทุกอย่างได้ดีหมดเลย นี่เป็นเรื่องโลกๆ

แต่เวลาฝึกของเราเข้าไป มันเริ่มสมาธิเข้ามา จิตมันตั้งมั่นเข้ามา แล้วมันจากสติเป็นมหาสติ จากสมาธิ จากโสดาบัน สกิทาคา อนาคา สมาธิมันระดับของสมาธิก็ต่างๆ กัน กำลังของใจมันต่างๆ กันนะ มันพัฒนาของมันขึ้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ ถ้าคนที่ดีๆ ความคิดที่ดีๆ สิ่งที่มันดีๆ แล้วเขาเชื่อไหม แม้แต่ผี แม้แต่สิ่งต่างๆ เขาว่าไม่มี ไม่มีแล้วกลัวทำไม นรกสวรรค์ไม่มี เทวดาไม่มี อะไรก็ไม่มี แล้วไอ้ผีตัวนี้ ไอ้ผีในหัวใจ ไอ้ที่มันเหยียบนี่

อย่าให้พูดเลยนะว่าคนเกิดมานี่ทุกข์ทุกคน โดยหัวใจทุกคนทุกข์และว้าเหว่ทั้งนั้นน่ะ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจก็ว้าเหว่ แต่ปากแข็งไง ปากแข็งว่าไม่กลัว ไม่มี อะไรก็ไม่มี นี่ไง คนเกิดมา การเกิดและการตายสิทธิเหมือนกัน แต่เกิดมาสร้างหรือเกิดมาทำลาย ถ้าเกิดมาสร้างเกิดมาดี เกิดมาทำให้จิตใจเราดีขึ้นมา แล้วประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติสร้างหรือปฏิบัติทำลาย ถ้าปฏิบัติทำลายมันก็ทำลายเขาทั่วไปหมด ขวางเขาไปหมดเลย

ถ้าปฏิบัติเพื่อสร้าง ปฏิบัติเพื่อสร้างนี่เปิดทางให้เขาหมดเลย เราจะเปิดทางให้เขา ทำให้เขามีโอกาสได้หมดเลย แล้วเวลาเราปฏิบัติมันก็ง่ายไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะเราเปิดทางให้เขา เราสร้างสิ่งคุณงามความดีให้เขา แล้วเวลาเราจะมาทำของเราเองบ้าง มันก็มีคุณประโยชน์ตรงนี้ แต่ถ้าเราปฏิบัติเพื่อทำลาย ขวางเขาไปหมดเลย เวลาเราไปภาวนานะ มันก็เสียงรบกวนไปหมด จะมีมดมีแมลงมาไต่มาตอม นี่มันเป็นสัจจะความจริงทั้งนั้นน่ะ โลกนี้ไม่มีของฟรี โลกนี้ใครทำสิ่งใด กรรมต้องให้ผลอย่างนั้น

การกระทำเกิดจากกรรม แล้วเราทำความดี ถ้าจิตเป็นสมาธิมันเป็นกรรมดีไหม แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหม ขณะที่ว่าจิตเป็นสมาธิเขายังมาปกป้องเขามาดูแลให้เราเลย เพราะจิตสงบเขาได้บุญกุศลด้วย ดูสิ เวลาพระเราออกบิณฑบาต เขาใส่บาตรมานี่เขารู้ไม่รู้ก็แล้วแต่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา จิตเราเป็นคุณงามความดีขึ้นมา

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ในทานที่มีคุณประโยชน์มหาศาลในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือ นางสุชาดาถวายอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กับอีกคราวหนึ่งนายจุนทะถวายอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงซึ่งขันธนิพพาน

ขันธ์นิพพานได้อย่างไร? “สอุปาทิเสสนิพพาน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือกิเลสทำลายกิเลสไปแล้ว มันก็เหลือ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นขันธ์ ๕ เห็นไหม แต่เวลาสละวัตถุ สละธาตุขันธ์นี่ขันธนิพพาน ขันธนิพพาน คือว่าสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ แล้วเวลาสละทิ้งขันธ์ ๕ สละไอ้วัตถุและขันธ์ ๕ มันก็เข้าถึง “อนุปาทิเสสนิพพาน”

ในศาสนานี้ ในศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ทานมีอยู่ ๒ คราวที่มีผล มีคุณ มีผลมาก คือคราวหนึ่งนางสุชาดาถวายอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราตถาคตฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน แล้วถึงคราวหนึ่งฉันอาหารของนายจุนทะ แล้วถึงซึ่งขันธนิพพาน”

เขาจะรู้ไม่รู้ก็แล้วแต่ เขาทำคุณงามความดีของเขา ก็เป็นคุณงามความดีของเขา แต่ในขณะที่เขาทำขึ้นมาแล้ว แล้วสมดุลกับเราที่เราออกบิณฑบาตมาแล้วเราออกไปฉันอาหารขึ้นมา แล้วเราภาวนาขึ้นมา จิตเราสงบขึ้นมา จิตเราเป็นคุณงามความดี นี่บุญกุศลของเขามหาศาลเลย

แล้วบุญกุศลที่เขาทำไป เราไปฟังกันในพระไตรปิฎก พระสารีบุตร พระกัสสปะออกจากสมาบัติแล้วทำบุญแล้วได้บุญมาก วิ่งกันไปเอาสมาบัติมาหลอกขายกันนะ ที่นั่นก็เข้าสมาบัติ ที่นี่ก็เข้าสมาบัติ เราจะไปก๊อปปี้เขามา จิตเราก็ไม่บริสุทธิ์ เราอยากได้อย่างนั้น

แต่ขณะที่พระสารีบุตร พระกัสสปะออกจากสมาบัติ ชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่องหรอก แล้วด้วยความบริสุทธิ์ไง เขาไม่มีเจตนาไม่มีสิ่งต่างๆ เขามีแต่ศรัทธาแล้วเขาถวายของเขาไป บุญกุศลเกิดกับเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติไง นี่มันสะอาดบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ผลเกิดขึ้นมาค่ามันบริสุทธิ์ มันให้ความบริสุทธิ์มากเลย

ไอ้นี่ค่ามันสกปรก อยากได้ อยากเป็น อยากไป แล้วก็แสวงหากัน แล้วก็ทางฝ่ายภิกษุก็หลอกกัน โอ๋ย! เข้าสมาบัติ สมาบัติเงินเต็มกระเป๋าเลย เราก็ได้บุญลมๆ ไป เห็นไหม นี่โลก ปฏิบัติโดยโลกนะ

โลกเป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” นี้คือโลก แต่ถ้าปฏิบัตินะ นี่ไตรลักษณะ เวลาเกิดอนัตตาในหัวใจ เพราะการกระทำของใจมันเป็น แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่เหรียญมี ๒ ด้าน ใช้โลกหรือธรรม ถ้าใช้โลกชีวิตก็เป็นโลกๆ ถ้าใช้ธรรม พยายามอยู่กับธรรม หัวใจนี้จะเป็นธรรม เอวัง